ประวัติความเป็นมาของเมืองสุโขทัย
ประวัติความเป็นมาของเมืองสุโขทัย
ชุมชนดั้งเดิม
สถาปัตยกรรมสุโขทัย และรวมไปถึงงานช่างในศิลปะสุโขทัยแขนงต่างๆ คงจะไม่ได้สิ้นสุดลงไปพร้อม ๆ กับอำนาจทางการเมืองกล่าวคือ แม้สุโขทัยจะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 แต่รูปแบบทางศิลปะได้สืบเนื่องอยู่ในเมืองสุโขทัยและในบริเวณที่เคยเป็น แว่น-แคว้นสุโขทัยมาอีกเกือบ 200 ปี ตราบจนสมเด็จพระนเรศวรได้อพยพชุมชนชาวสุโขทัยครั้งใหญ่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษ ที่ 22 หรือช่วงสมัยอยุธยาตอนกลางศิลปะสุโขทัยคงจะสิ้นสุดในช่วงระยะเวลานั้น
ชุมชนดั้งเดิม
บริเวณ
พื้นที่ภาคเหนือตอนล่างหรือบริเวณพื้นที่ตอนล่างของลุ่มแม่น้ำปิง ยม
และน่าน ก่อนที่จะเกิดเป็นบ้านเมืองในเครือข่ายของแคว้นสุโขทัย
ได้พบร่องรอยหลักฐานการตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนขนาดเล็กบนเส้นทางคมนาคม
ติดต่อกันระหว่างรัฐหรืออาณาจักรโบราณที่มีความเป็นปึกแผ่นทางด้านการเมือง
มีความก้าวหน้าทางเทคนิควิทยา มีอารยธรรม มีการนับถือศาสนาต่าง ๆ
รัฐใหญ่ดังกล่าว
ได้แก่
อาณาจักรพุกามทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ
แคว้นหริภุญไชยในเขตจังหวัดลำพูนและลำปาง
แคว้นละโว้หรือลพบุรีและแคว้นนครชัยศรีในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง
แคว้นศรีจนาศะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอาณาจักรกัมพูชา
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สภาพของชุมชนเล็ก ๆ
คงเป็นอยู่เช่นนี้มาจนกระทั่งเข้าสู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18
ที่ชุมชนบางแห่งได้มีการรวมตัวกันอย่างหนาแน่นจนถึงกับเป็นชุมชนในระดับ
เมือง
แถบพื้นที่จังหวัดสุโขทัยที่พบหลักฐานชุมชนโบราณใกล้กับเมืองสุโขทัยเก่า
ได้แก่
แหล่งโบราณคดีบ้านวังหาด
ตำบลตลิ่งชัน อำเภอบ้านด่านลานหอย
ซึ่งพบหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากโลหะ เช่น หอก
มีด เครื่องประดับที่เป็นกำไลสำริด ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน อาเกต
ลูกปัดหินคานีเลียน เหรียญตราดวงอาทิตย์ และเศษภาชนะดินเผา
นับเป็นแหล่งโบราณคดีลุ่มแม่น้ำยมที่มีพัฒนาการทางด้านโลหะกรรม
โดยเฉพาะความถนัดในด้านการถลุงเหล็กที่มีอายุประมาณ 2500 ปี
มาจนถึงสมัยทวารวดี
ชุมชนบริเวณปราสาทเขาปู่จ่า บ้านนาเชิงคีรี ตำบลนาเชิงคีรี อำเภอคีรีมาศ บนภูเขาเล็ก ๆ
เชิง
เขาหลวงซึ่งสูงจากระดับพื้นดินประมาณ 40 – 50 เมตร
มีปราสาทก่อด้วยอิฐลักษณะศิลปะร่วมสมัยศิลปะเขมรแบบบาปวน
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 17
เป็นโบราณสถานอิทธิพลเขมรที่เก่าแก่ที่สุดในเขตจังหวัดสุโขทัย
ชุมชนโบราณที่บริเวณปราสาทเขาปู่จ่าแสดงถึงพัฒนาการใน
การแปลงบ้านเป็นเมืองเล็ก ๆ
ตรงเชิงเขาซึ่งตำแหน่งที่ตั้งไม่ไกลจากเขาหลวงอันเป็นแหล่งแร่ธาตุและ
สมุนไพรจากป่า มีการติดต่อกับชุมชนภายนอกเป็นสังคมที่ไม่โดดเดี่ยว
กำเนิดเมืองสุโขทัย
หลักฐานทางโบราณคดีต่าง ๆ
ได้แสดงให้เห็นว่าได้มีชุมชนในบริเวณเมืองสุโขทัยมาก่อนแล้ว
และมีพัฒนาการจากชุมชนเล็ก ๆ กลายเป็นชุมชนใหญ่ จนพัฒนาเป็นบ้านเมือง
จากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้ทราบว่าชุมชนนี้มีการสร้างบ้านเรือนด้วยไม้ มีการล่าสัตว์
หา
ของป่า เลี้ยงสัตว์ประเภทวัวควาย มีการทำภาชนะดินเผาขึ้นใช้เอง
รู้จักการหลอมโลหะ
มีความสัมพันธ์ติดต่อค้าขายกับชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงและที่อยู่ห่างไกล
ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18 วัฒนธรรมเขมรได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างเด่นชัด
ดังหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม เช่น ศาลตาผาแดง
ก่อด้วยสิลาแลงซึ่งส่วนยอดได้พังทลายลงแล้ว
ประติมากรรมหินทรายทั้งที่เป็นเทวรูปและเทวนารีรวมหกรูป เทียบรูปแบบได้กับศิลปะเขมรแบบบายน ตรงกับรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของเขมร อีกแห่งหนึ่งคือ ปรางค์ 3 องค์ ก่อด้วยศิลาแลงที่วัดพระ-พายหลวง เรียงในแนวเหนือใต้ สร้างขึ้นตามคติมหายาน
ประมาณช่วงครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 18 หลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 2 (ศิลาจาจึกวัดศรีชุม)
ได้กล่าวว่าพ่อขุนศรีนาวนำถมเป็นกษัตริย์เสวยราชย์ในกรุงสุโขทัยและศรีสัชนา
ลัย
ซึ่งพระองค์คงจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนักเขมรกล่าวคือพ่อขุนผาเมือง
ผู้เป็นโอรสและครองเมืองราดได้พระราชธิดาของกษัตริย์เขมรเป็นมเหสี พร้อมได้รับราชทินนาม กมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ และพระขรรค์ชัยศรีจากกษัตริย์เขมรด้วย
อิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรในสุโขทัยเสื่อมถอยลงภายหลังสิ้นรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ในราว พ.ศ. 1760 ซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นมีผู้นำชาวไทยคือพ่อขุนผาเมืองกับพ่อขุนบางกลางหาวได้ร่วมกันกำจัดอำนาจและขับไล่ขอมสบาดโขลญลำโพงออกไปจากเมืองสุโขทัยได้สำเร็จในราว พ.ศ. 1782 จากนั้นพ่อขุนผาเมืองได้ถวายพระนามกมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์และพระขรรค์ชัยศรี อันเป็นสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์ให้แก่พ่อขุนบางกลางหาว มีอำนาจในเมืองสุโขทัยแทนราชวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถม
สุโขทัยภายใต้ราชวงศ์พระร่วง
พ่อขุนบางกลางหาว
หรือพระนามเมื่ออภิเษกเป็นกษัตริย์สุโขทัยว่า“ศรีอินทรบดินทราทิตย์”
หรือที่รู้จักในนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
นับเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงที่ครองราชอาณาจักรสุโขทัยสืบต่อกันมา
สำหรับปีที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์อภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย
อยู่ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18
ข้อความในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1
ช่วยให้ทราบประวัติศาสตร์สุโขทัยได้มากขึ้นว่าเมื่อพ่อ-ขุนศรีอินทราทิตย์
ขึ้นครองราชย์แล้ว ได้สู้รบกับคนไทยด้วยกันคือ พ่อขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด
แสดงว่าในระยะนั้นยังมีกลุ่มคนไทยปกครองนครรัฐต่าง ๆ โดยไม่ขึ้นต่อกัน
ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ยังได้บรรยายความเจริญรุ่งเรือง
ของอาณาจักรสุโขทัยในรัชสมัยพ่อขุน-รามคำแหงว่า มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
ทางใต้ลงไปถึงนครศรีธรรมราช แหลมมลายู ทางตะวันตกถึงหงสาวดี ทางเหนือจดแพร่
น่าน ถึงฝั่งหลวงพระบาง ในการแผ่อำนาจของพ่อขุนรามคำแหงนั้น
คงจะไม่ใช้การแผ่อำนาจทางแสนยานุภาพ แต่คงใช้นโยบายทางการเมือง
ให้หัวเมืองใหญ่น้อยเข้ามารวมอยู่ในแว่นแคว้นสุโขทัย
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งในสมัยพ่อขุนรามคำแหงคือ
ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นในปี พ.ศ. 1826 และยังคงใช้สืบต่อมาจนทุกวันนี้
หลักฐานความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนา สถาปัตยกรรม
ยังปรากฎแจ้งชัดจากหลักฐาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและโบราณสถาน
โดยเฉพาะพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ได้เจริญรุ่งเรืองในราชอาณาจักรสุโขทัย
เมื่อพระเจ้าอู่ทอง หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. 1893
กรุงสุโขทัยได้เสื่อมอำนาจลงเป็นลำดับ และต้องอ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 1921 แต่ยังมีกษัตริย์สืบราชวงศ์ต่อมา จนถึง พ.ศ. 1981 จึงรวมเป็นอาณาจักรเดียวกับกรุงศรีอยุธยา
ระบบผังเมือง
เมืองสุโขทัยมีลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 1800 เมตร ยาวประมาณ
2000 เมตร มีกำแพงที่ทำเป็นคันดินถมอัดแน่นล้อมรอบ 3 ชั้น ระหว่างกำแพง
เมืองแต่ละชั้นจะมีคูน้ำคั่นกลาง
เกือบกึ่งกลางกำแพงเมืองแต่ละด้านมีประตูเมืองเปิดไว้
และมีป้อมดินรูปสี่เหลี่ยมขวางอยู่ ประตูเมืองทั้งสี่ประตูใน
ปัจจุบันมีชื่อเรียกดังนี้ ด้านทิศเหนือเรียกว่าประตูศาลหลวง
ด้านทิศตะวันออกเรียกว่าประตูกำแพงหัก ด้านทิศใต้เรียกว่าประตูนะโม
ด้านทิศตะวันตกเรียกว่าประตูอ้อ
ภายในเมืองมีวัดมหาธาตุเป็นศูนย์กลาง
ส่วนวัดอื่นๆที่เกาะกลุ่มกับวัดมหาธาตุจนเป็นแกนหลักของเมือง ประกอบด้วย
วัดชนะสงคราม วัดศรีสวาย วัดตระพังเงิน วัดสระศรี วัดตระกวน วัดใหม่
และวัดตระพังทอง นอกจากนี้ยังมีสระน้ำขนาดต่าง ๆ กระจายอยู่ทั่วไป
โดยเฉพาะสระน้ำขนาดใหญ่นั้น น่าจะสร้างตามความเชื่อทางพุทธศาสนา
เพราะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือขอบเขตของวัด
บริเวณนอกตัวเมืองทั้งสี่ด้าน ยังมีโบราณสถานขนาดต่าง ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ด้านทิศเหนือมีวัดพระพายหลวง วัดศรีชุม เตาทุเรียง ทิศตะวันออกมีวัดช้างล้อม วัดเจดีย์สูง วัดตระพังทองหลาง ทิศใต้มีวัดพระเชตุพน วัดเจดีย์สี่ห้อง วัดศรีพิจิตรกิติกัลยาราม ทิศตะวันตกเป็นกลุ่มวัดเขตอรัญญิก มี
วัดสำคัญ ๆ เช่น วัดป่ามะม่วง วัดมังกร วัดสะพานหิน วัดพระบาทน้อย
และวัดเจดีย์งาม
นอกจากนี้ในแต่ละด้านยังมีสิ่งก่อสร้างเนื่องในระบบชลประทาน เช่น
คันบังคับน้ำ ทำนบ คลองส่งน้ำ คลองระบายน้ำ
ลักษณะของเมืองที่กำหนดศาสนสถานเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ คงจะได้รับอิทธิพลจากเขมรผสมผสานกับอิทธิพลทางพุทธศาสนาแบบหินยาน โดยมีศาสนสถานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นตามลำดับกาลเวลาเป็นตัวหลักในการกำหนดรูปทรงของเมือง
ผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีที่บริเวณประตูเมือง
และกำแพงเมืองทั้งสี่ด้านของโครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในปี พ.ศ.
2521 - 2524
พบหลักฐานที่แสดงถึงการก่อสร้างกำแพงเมืองสุโขทัยว่ามีการก่อสร้าง 2
สมัยด้วยกันคือ
สมัยการสร้างเมืองสุโขทัยระยะแรก มีเฉพาะกำแพงเมืองชั้นใน
และประตูเมืองทั้งสี่ด้านเท่านั้น
โดยพบหลักฐานการก่อสร้างวัดในพุทธศาสนาบริเวณป้อมประตูเมืองทางด้านทิศใต้
(ประตูนะโม)
สมัยที่สอง (ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 20) เป็นต้นมา
มีการสร้างป้อมรูปสี่เหลี่ยมขวางประตูเมืองชั้นใน กำแพงเมืองชั้นกลาง
และกำแพงเมืองชั้นนอก ด้วยเหตุนี้บริเวณประตูนะโม (ประตูทาง-ด้านทิศใต้)
ป้อมรูปสี่เหลี่ยมจึงสร้างอยู่บนศาสนสถานหรือบนวัดที่มีมาก่อน
นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงกำแพงเมืองชั้นในให้สูงขึ้น
รวมทั้งมีการก่ออิฐประกอบแกนดินที่บริเวณประตูอ้อ (ประตูทางด้านทิศตะวันตก)
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรม
ในเมืองสุโขทัย ส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานสำหรับอาคารที่เป็นปราสาทราชวัง
และบ้านเรือนของประชาชนจะสร้างด้วยไม้ จึงไม่เหลือร่องรอยให้เห็นในปัจจุบัน
พัฒนาการของสถาปัตยกรรมอาจแบ่งออกได้เป็น 2 สมัยคือ
1. รุ่นก่อนสุโขทัย หรือก่อนราชวงศ์พระร่วง เป็นศาสนสถานในลัทธิพราหมณ์ และ
ศาสนาพุทธแบบมหายาน มีแบบแผนการสร้างเป็นปรางค์ 3 องค์เรียงกันในแนวนอนคือ วัดพระพายหลวง วัดศรีสวาย และที่เป็นปรางค์แบบยกฐานสูงมีมุขหน้าที่ศาลตาผาแดง แบบทั้งหมดเป็นแบบศิลปะลพบุรีอิทธิพลศิลปะเขมร
2. รุ่นสมัยสุโขทัย หรือ
สมัยราชวงศ์พระร่วง ประมาณตั้งแต่รัชกาลพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นต้นมา
สถาปัตยกรรมจะเป็นวัดในพุทธศาสนาลัทธิหินยานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นศาสนาหลักของเมือง
การวางแผนผังอาคารที่เป็นวัดในสมัยสุโขทัยจะใช้แกนทิศตะวันออก –
ตะวันตก เกือบทั้งหมด โดยหันด้านหน้าไปทางทิศตะวันออก มีคูน้ำหรือกำแพงที่
ก่อด้วยอิฐและศิลาแลงล้อมรอบแสดงขอบเขตวัด สิ่งก่อสร้างที่เป็นหลักจะประกอบด้วยอาคารที่เป็นวิหารอยู่ด้านหน้าเจดีย์ มณฑป หรือพระปรางค์
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างใช้อิฐและศิลาแลงเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีหินชนวนเป็นส่วนประกอบบ้าง ศิลาแลงที่มีขนาดใหญ่และใช้ก่อส่วนฐานอาคารจะใช้วิธีเรียงทับตามแบบอิทธิพลเขมร โดยไม่มีตัวประสาน เรียกเทคนิคการก่อแบบ
นี้ว่าก่อแบบแห้ง ส่วนศิลาแลงขนาดเล็กที่ใช้ก่อโดยทั่วไปจะใช้ดินเป็นตัว
ประสานเช่นเดียวกับอิฐ เมื่อก่อวัสดุเสร็จแล้วจะฉาบปูนทับอีกชั้นหนึ่ง
ปูนที่ใช้ฉาบผนังหรือทำลวดลายประดับประกอบด้วย
ปูนขาว ทราย น้ำอ้อย หนังสัตว์เคี่ยวจนเปื่อยเป็นน้ำเหนียว
ลักษณะรูปแบบทางสถาปัตยกรรม แบ่งตามหน้าที่และรูปทรงได้เป็น 2 ประเภทคือ
1.อาคารที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
อาคารประเภทนี้มีวิหารและอุโบสถ วิหาร
เป็นอาคารที่ใช้ประกอบพิธีกรรมให้พุทธศาสนิกชน จึงนิยมสร้างขนาดใหญ่ และ
ตั้งอยู่ในแกนหลักของวัด ส่วนโบสถ์เป็นอาคารที่พระสงฆ์ใช้ประกอบกิจโดยเฉพาะ
จึงมีขนาดเล็ก และมักจะตั้งอยู่นอกคูน้ำหรือนอกกำแพงวัด มีใบเสมาหินชวนปัก
คู่ 8 ตำแหน่ง
แผนผังอาคารทั้งสองประเภทเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยกฐานสูงจากระดับพื้นดินประมาณ 1 เมตร มี
ขนาดตั้งแต่ 4 –
11 ห้อง (ช่วงเสา) ส่วนด้านกว้างหรือด้านสกัดจะมีช่วงเสากลางตามความกว้าง
ของห้องและมีช่วงเสาเล็กที่รับชายคา ฐานและเสาก่อด้วยอิฐหรือศิลาแลง เสาจะ
มีทั้งแบบกลมและแปดเหลี่ยม จากร่องรอยเสาที่ยังเหลืออยู่ทำให้สันนิษฐานได้
ว่า โครงสร้างหลังคาใช้ไม้ มุงด้วยกระเบื้องดินเผาแบบขอเต็มลดหลั่นไล่กัน
เป็นทอด
ๆ มีการทำเครื่องสังคโลกมาประดับส่วนหลังคา เช่น ช่อฟ้า นาคหรือหัวมกร
ประดับส่วนชายคา บราลีตั้งบนสันหลังคา และตรงหัวแปมีเครื่องสังคโลกหุ้ม
ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของอาคารที่เป็นวิหารและโบสถ์คือจะมีทั้งที่เป็น
อาคารโถง
ไม่ก่อผนังด้านข้าง แต่จะใช้ปีกนกหรือชายคาแผ่เหยียดออกไปในระดับต่ำเพื่อ
กันแดดฝน ตัวอย่างของอาคารแบบนี้ เช่น วิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมือง
สุโขทัย ส่วนอาคารอีกลักษณะหนึ่งก่อผนังค่อนข้างสูงไม่มีหน้าต่าง แต่จะเจาะ
ผนังเป็นช่องลูกกรงเล็ก ๆ เช่น
วิหารด้านหน้าพระปรางค์วัดศรีสวาย และวิหารวัดเจดีย์สี่ห้อง เมืองสุโขทัย
2. สถาปัตยกรรมที่ใช้สักการะในรูปสัญลักษณ์ ได้แก่ เจดีย์ มณฑป และปรางค์
2.1 เจดีย์ รูปแบบเจดีย์ที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย ที่เป็นแบบสำคัญมี 3 แบบ คือ
2.1.1 เจดีย์สุโขทัยแท้ หรือเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์เป็นแบบเจดีย์ที่เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยโดยเฉพาะไม่มีต้นแบบหรือแหล่งที่มาชัดเจน นักประวัติศาสตร์ศิลปะได้สันนิษฐานเกี่ยวกับแรงบันดาลใจและแนวคิดในการสร้างต่างกันออกไป บ้างก็ว่าเป็นการดัดแปลงมาจากลักษณะดอกบัว ซึ่งคือเป็นดอกไม้
บูชาที่คู่กับพุทธศาสนา บางท่านสันนิษฐานว่า
เป็นการดัดแปลงเค้าโครงมาจากพระปรางค์แบบศิลปะลพบุรีแล้วนำมาผสมกับเจดีย์
ทรงกลมแบบลังกา และบางท่านได้เสนอว่าเป็นแนวคิดของช่างสุโขทัยที่สร้าง
เจดีย์แบบนี้ เพื่อให้ต่างไปจากพระปรางค์ตามแบบอิทธิพลเขมร อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ก็
ยังไม่เป็นที่ยุติในทางวิชาการ ส่วนประกอบต่าง ๆของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
คือ ฐานทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น จากนั้นทำเป็นฐานบัว
ถัดขึ้นไปเป็นชั้นแว่นฟ้าย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบซ้อนกัน 2
ชั้น ขึ้นไปเป็นเรือนธาตุย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบเช่นเดียวกัน ส่วนยอดที่ต่อจาก
เรือนธาตุคือทรงดอกบัวตูม จากนั้นจะมีวงแหวนหรือปล้องไฉนเรียงซ้อนลด
ขนาด แล้วจึงเป็นทรงกรวยแหลมในที่สุด อย่างไรก็ตามยังมีบางแห่งที่ทำชั้น
แว่นฝ้าย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบเพียงชั้นเดียว เช่น เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์วัดซ่อน
ข้าว
เมืองสุโขทัย สำหรับที่วัดเจดีย์ยอดทอง จังหวัดพิษณุโลก ที่บริเวณส่วน
เรือนธาตุมีการทำซุ้มเพิ่มเติมขึ้น
เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์มีการสร้างกันอย่างแพร่หลายในสมัยสุโขทัย ที่ปรากฎใน
เมืองสุโขทัยคือ วัดมหาธาตุ วัดตระพังเงิน วัดซ่อนข้าว วัดอ้อมรอบ วัดอโศกา
ราม และที่ปรากฎเฉพาะฐานซึ่งรู้ว่าเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์มีอีกหลายแห่ง
นอกจากนี้ยังมีอยู่ตามเมืองต่าง ๆ
คือเมืองศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ รวมทั้งที่วัดสวน
ดอก จังหวัดเชียงใหม่แต่ปัจจุบันไม่เหลือหลักฐาน และเมื่อสิ้นอาณาจักร
สุโขทัยแล้ว เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ก็ไม่มีการสร้างหรือพัฒนาขึ้นมาอีก
2.1.2 เจดีย์ทรงกลม
สันนิษฐานกันว่าคงได้รับอิทธิพลจากลังกาพร้อมกับการรับพุทธศาสนา บางครั้ง
จึงเรียกกันว่า เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา ส่วนประกอบต่าง
ๆ ขององค์เจดีย์คือ ฐานล่างทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมซ้อนกัน 2 – 3
ชั้น จากนั้นจะเป็นฐานบัวซึ่งอาจจะมีหนึ่งชั้นหรือสองชั้น ถัดขึ้นไปจะเป็น
มาลัยเถาเรียงซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 3
ชั้น ลักษณะมาลัยเถาจะทำเป็นรูปบัวค่ำ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบัว
ถลา อันเป็นลักษณะเฉพาะของเจดีย์ทรงกลมสุโขทัย จะต่างไปจากของอยุธยาและรัตน
โกสินทร์ที่ทำมาลัยเถาลักษณะกลม ถัดจากมาลัยเถาขึ้นไปจะเป็นองค์ระฆังซึ่ง
บริเวณส่วนล่างจะมีบัวปูนปั้นประดับ เรียกกันว่า บัวปากระฆัง การทำบัวปาก
ระฆังนี้มีมาก่อนแล้วในศิลปะพม่าแห่งเมืองพุกาม และอาจจะให้อิทธิพลต่อศิลปะ
สุโขทัย องค์ระฆังรองรับส่วนที่เป็นบัลลังก์ เหนือบัลลังก์ขึ้นไปเป็นส่วนแกน แล้วเป็นปล้องไฉนปลียอด จนถึงเม็ดน้ำค้างเป็นที่สุด ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ เจดีย์ทรงกลมสมัยสุโขทัยจะไม่มีเสาหานเหนือบัลลังก์เช่นเจดีย์ทรงกลมสมัยอยุธยา
เจดีย์ทรงกลมที่ปรากฎในเมืองสุโขทัย เช่น วัดชนะสงคราม วัดสระศรี วัดตระกวน วัด
ตระพังทอง และเจดีย์รายอีกเป็นจำนวนมากในวัดมหาธาตุ นอกจากนี้ยังก่อสร้าง
แพร่หลายทั้งเมืองศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์
เจดีย์ทรงกลมแบบพิเศษ คือ เจดีย์ช้างล้อม รูปแบบสถาปัตยกรรมโดยทั่วไปจะ
เหมือนกับเจดีย์ทรงกลม เพียงแต่มีการนำประติมากรรมรูปช้างมาประดับส่วน
ฐาน โดยขยายฐานและส่วนอื่น ๆ ให้เหมาะสม มีปรากฎหลายแห่งในเมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร สันนิษฐานกันว่ารับแบบอย่างมาจากประเทศลังกา ผ่านมาทางเมืองนครนครศรีธรรมราช เจดีย์ช้างล้อมสมัยสุโขทัยจึงมีลักษณะคล้ายกับพระบรมธาตุที่เมืองนครศรีธรรมราช
2.1.3 เจดีย์ทรงปราสาท องค์ประกอบของเจดีย์คือ ส่วนฐานทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมถัดขึ้นไปเป็นเรือนธาตุ ซึ่ง
มีการทำซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป ตรงมุมบนของเรือนธาตุจะประดับด้วยเจดีย์
ขนาดเล็กทั้งสี่มุม ต่อจากเรือนธาตุขึ้นไปเป็นฐานแปดเหลี่ยมรองรับองค์
ระฆัง แล้วจึงเป็นปลียอด เจดีย์แบบนี้เชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะ
ศรีวิชัย จึงมักเรียกเจดีย์ทรงปราสาทของสุโขทัยอีกอย่างหนึ่งว่าเจดีย์แบบ
ศรีวิชัย เจดีย์แบบนี้มีปรากฎเป็นเจดีย์มุมประกอบเจดีย์พุ่มข้างบิณฑ์ที่
เป็นประธานวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย และเจดีย์รายที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว เมือง
ศรีสัชนาลัย
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์อีกแบบหนึ่งที่ปรากฎเป็นเจดีย์ประธานวัดเจดีย์สูง
นอกเมืองสุโขทัยทางด้านตะวันออก ลักษณะส่วนยอดของเจดีย์จะเหมือนกับเจดีย์
ทรงกลม คือ ทำมาลัยเถาเป็นแบบบัวถลาซ้อนกัน
3
ชั้น รองรับองค์ระฆังที่มีปูนปั้นบัวปากระฆังประดับ จากนั้นเป็น
บัลลังก์ ปล้องไฉน และปลียอด แต่ส่วนฐานมีการพัฒนาให้ต่างออกไปคือได้ขยาย
ฐานหน้ากระดานให้สูงขึ้นจนเป็นผนังปริมาตรรูปสี่เหลี่ยม
ย่อมุมเพื่อรองรับส่วนยอด ซึ่งเป็นลักษณะผสมระหว่างศิลปะศรีวิชัยกับศิลปะสุโขทัย
เจดีย์ประธานวัดศรีพิจิตรกิติกัลยาราม นอกเมืองสุโขทัยทางด้านทิศใต้ทำฐานสูงคล้ายกับเจดีย์ประธานวัด
เจดีย์สูง
ลักษณะฐานที่ยืดให้สูงขึ้นนั้นเป็นฐานบัวลูกแก้วอันเป็นลักษณะฐานของสุโขทัย
หลักฐานจากศิลาจารึกซึ่งพบที่วัดแห่งนี้บอกศักราชที่สร้างวัดเอาไว้
คืออยู่ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่
20 ดังนั้นรูปแบบเจดีย์ประธานวัดศรีพิจิตรกิติกัลยารามจึงเป็นแบบสมัย
สุโขทัยตอนปลาย
2.2 มณฑป ในสมัยสุโขทัยนิยมสร้างมณฑปให้ทำหน้าที่แทนเจดีย์อยู่ด้านหลังวิหารจะมี 2 แบบด้วยกัน คือ มณฑป
ที่มีลักษณะแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผนังด้านข้างก่อหนา มีทางเข้า
ด้านหน้าเพียงด้านเดียว ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปเต็มคับอยู่ภายในห้อง โครง
สร้างหลังคาเป็นเครื่องไม้ซ้อนเป็นชั้น
ๆ ใช้กระเบื้องดินเผามุงหลังคา ซึ่งหลังคาได้หักพังลงทั้งหมด มณฑปแบบนี้มี
ที่วัดศรีชุม วัดตึก วัดศรีโทน วัดซ่อนข้าว
และวัดตระพังทองหลาง สำหรับมณฑปวัดศรีชุมจะทำผนัง 2 ชั้น มีบันไดอยู่กลางสามารถเดินขึ้นไปจนถึงหลังคาได้ สันนิษฐานกันว่าอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะลังกาสมัยโปลนนารุวะ หรืออาจได้รับอิทธิพลจากศิลปะพม่าที่เมืองพุกาม ซึ่งนิยมสร้างผนัง 2 ชั้น มีบันไดอยู่ภายในสำหรับเดินขึ้นไปชั้นบน
ส่วนมณฑปอีกลักษณะหนึ่งจะทำเป็นมณฑปโถง ตรงกลางจะมีแท่นทึบเพื่อรับส่วน
หลังคา และมีพระพุทธรูปประดับผนังทั้งสี่ด้าน ที่เรียกพระพุทธรูปสี่อิริยา
บทคือ มีพระพุทธรูปนั่ง ยืน เดิน และนอน ผนังแต่ละด้านจะมีมุขยื่นออกมาเสมอ
กัน โครงสร้างหลังคาเป็นเครื่องไม้หักพังลงจนหมด มณฑปลักษณะนี้พบที่วัดเชตุ
พน วัดพระพายหลวงเมืองสุโขทัย และที่วัดพระสี่อิริยาบท จังหวัดกำแพงเพชร
2.3 พระปรางค์ มีที่วัดพระพายหลวงและวัดศรีสวาย เป็นลักษณะศิลปะลพบุรีที่สร้างมาก่อนสมัยสุโขทัย และสร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนาลัทธิมหายานและพราหมณ์ แบบแผนผังเป็นปรางค์ 3 องค์เรียงกันในแนวนอน สมัยสุโขทัยได้แปลงโบราณสถานทั้งสองแห่งให้เป็นวัดในพุทธศาสนาลัทธิหินยาน และใช้ปรางค์ที่มีมาแต่เดิมเป็นสถูปหลักโดยสร้างวิหารขึ้นทางด้านหน้า ที่
วัดพระพายหลวงพบพระ-พุทธรูปปูนปั้นสมัยสุโขทัยอยู่ในปรางค์องค์ใหญ่
ส่วนที่วัดศรีสวายคงจะมีการแก้รูปแบบให้เป็นปรางค์ไทยคือ ทำทรงสูงชลูดขึ้น
กว่าเดิม และลวดลายปูนปั้นกลีบขนุนก็เป็นแบบศิลปะสุโขทัยสถาปัตยกรรมสุโขทัย และรวมไปถึงงานช่างในศิลปะสุโขทัยแขนงต่างๆ คงจะไม่ได้สิ้นสุดลงไปพร้อม ๆ กับอำนาจทางการเมืองกล่าวคือ แม้สุโขทัยจะถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20 แต่รูปแบบทางศิลปะได้สืบเนื่องอยู่ในเมืองสุโขทัยและในบริเวณที่เคยเป็น แว่น-แคว้นสุโขทัยมาอีกเกือบ 200 ปี ตราบจนสมเด็จพระนเรศวรได้อพยพชุมชนชาวสุโขทัยครั้งใหญ่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษ ที่ 22 หรือช่วงสมัยอยุธยาตอนกลางศิลปะสุโขทัยคงจะสิ้นสุดในช่วงระยะเวลานั้น
……………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น